Page 131 - Executive Functions ในเด็กวัย 7-12 ปี
P. 131
8. ตั้งเป้าหมายความส�าเร็จของลูก
หากถามพ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆ ว่าตั้งเป้าหมายอะไรให้กับชีวิตลูก ส่วนใหญ่ก็จะตอบ การท�างานร่วมกันระหว่างบ้านและโรงเรียนควรอยู่บนทัศนะเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็น
ตรงกันว่าต้องการให้ลูกประสบความส�าเร็จในชีวิตและมีความสุข แต่เมื่อพิจารณาถึง ความเชื่อใจ ให้การสนับสนุนและให้ก�าลังใจซึ่งกันและกัน พ่อแม่ควรให้ความเคารพใน
สิ่งที่พ่อแม่ให้การอบรมเลี้ยงดูลูก กลับมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย บางบ้านเร่งรัด วิชาชีพครู เคารพในวิธีการท�างานของครู หากสงสัย ข้องใจ หรือไม่พอใจ ควรไต่ถาม
การอ่านเขียนเรียนเร็ว บางบ้านปล่อยให้อยู่กับแท็บเล็ต สมาร์ตโฟน บางบ้านให้ลูก เพื่อท�าความเข้าใจให้ตรงกัน ไม่ควรเก็บความขุ่นข้องใจเพราะจะกระทบต่อสัมพันธภาพ
มีโปรแกรมเสริมมากมายจนเรียกว่า overprogrammed บางบ้านมีกิจกรรมของ ที่ดี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาลูก อีกทั้งการที่พ่อแม่บ่นว่าลับหลังครูเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก
ครอบครัวที่ท�าร่วมกัน เช่น ไปท�าขนมบ้านคุณย่า ช่วยคุณแม่ซักผ้า ช่วยคุณพ่อล้างรถ จะท�าให้ลูกเกิดความสับสน กังวลใจ เพราะส่วนใหญ่เด็กจะรักทั้งพ่อแม่และครู
เมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมายปลายทางที่ได้รับจึงให้ผลที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน เมื่อพ่อแม่และครูมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ทั้งสองฝ่ายจะประสานมือ ประสานใจ
ลองทบทวนดูดีกว่าว่า เป้าหมายปลายทางที่ตั้งไว้ หรือเป้าหมายหลักนั้นเป็น เป็นหนึ่งในการพัฒนาลูกและศิษย์ไปในทิศทางเดียวกัน พ่อแม่และครูจะมีความสุข
เป้าหมายที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตลูกอย่างยั่งยืนหรือไม่ คิดต่อให้ชัดว่าอะไร ความเบิกบานใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าของคนที่เรารักเติบโตอย่างงดงาม
ที่จะบอกถึงความส�าเร็จในชีวิตของลูกได้ และความสุขในชีวิตคืออะไร ที่สุดแล้ว
ลูกจะสามารถด�ารงชีวิตได้อย่างมีคุณค่าต่อตนเอง ต่อผู้อื่น รวมถึงต่อธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมได้หรือไม่ เพราะทัศนะต่อการด�ารงชีวิตจะมีผลต่อการเลี้ยงดูลูก
และการเลี้ยงดูลูกจะเป็นตัวหล่อหลอมทั้งความคิดและจิตใจของลูก
เมื่อเป้าหมายปลายทางหรือเป้าหมายหลักชัดเจนแล้ว ต้องมีเป้าหมายระยะสั้น
และกระบวนการย่อยที่รองรับและสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก เป้าหมายต้องอยู่ในใจ
เสมอ ให้หมั่นตรวจสอบสิ่งที่ท�ากับผลที่ลูกได้รับอยู่เสมอว่าหลุดเป้าหมายไปหรือไม่
ตอบสนองความต้องการ ความพร้อม และธรรมชาติของลูกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดี
เป้าหมายก็ต้องมีความยืดหยุ่นให้พอเหมาะพอดี อย่าตายตัวเกาะติดกับความคิดเดิม
อย่างเดียว ต้องปรับให้เหมาะกับลูกและสภาพการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบันด้วย
9. ท�างานร่วมกับครู
เมื่อลูกเข้าโรงเรียนก็ไม่ได้หมายความว่าภาระการฝึกฝน อบรมเลี้ยงดูตกไปของครู
และโรงเรียน เพราะบ้านยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อลูก ให้ถือว่าบ้านและโรงเรียนเป็น
หุ้นส่วนการพัฒนาลูกร่วมกัน แต่เนื่องจากความเชื่อ ทัศนคติ และประสบการณ์
ของครูและพ่อแม่แต่ละคนก็แตกต่างกัน จึงต้องหมั่นพูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะ
ระหว่างกัน เพื่อให้มีเป้าหมายที่ตรงกัน และมีวิธีการอบรมเลี้ยงดูไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันซึ่งจะเป็นผลในทางลบต่อลูก
130 131