Page 154 - คู่มือ Executive Functions สำหรับครูปฐมวัย
P. 154

ฝึกฝนทักษะสมอง EF ในกำรควบคุมก�ำกับตนเองจนเกิดเป็นวินัยในตนเองแล้ว                            Ignore หรือ กำรเพิกเฉยต่อควำมต้องกำรพื้นฐำนทำงจิตใจของเด็ก
                                     (Internal Control) ยังเป็นกำรตัดโอกำสเด็กออกจำกกำรสั่งสมประสบกำรณ์                              กำรเพิกเฉยต่อควำมต้องกำรพื้นฐำนทำงจิตใจของเด็ก คือ กำรปล่อยเด็กให้ท�ำ

                                     ในกำรสร้ำงควำมผูกพันแบบปลอดภัยที่จะพัฒนำไปเป็นคุณภำพจิตใจของเขำ                               พฤติกรรมไม่เหมำะสม และท�ำเป็นไม่สนใจเด็กแบบไม่มีหลักเกณฑ์ ซึ่งบำงครั้งอำจ
                                     อีกด้วย                                                                                       จะเป็นกำรท�ำร้ำยจิตใจของเด็กมำกกว่ำเป็นกำรสอนและฝึกฝนพฤติกรรมที่
                                                                                                                                   เหมำะสม เพรำะเมื่อเด็กไม่ได้รับกำรตอบสนองควำมต้องกำรพื้นฐำนทำงจิตใจ

                                       แล้วจะเกิดอะไรขึ้น                                                                          สิ่งเดียวที่เด็กจะสนใจเรียนรู้และจดจ�ำจำกสถำนกำรณ์นั้นก็คือ ควำมไม่มั่นคง

                                       หากผ่านไปแค่ 2 นาที เด็กเกิดความรู้สึกผิด แล้วอยากกลับเข้ากลุ่ม                             ปลอดภัยที่ได้รับจำกผู้เลี้ยงดู ไม่ใช่ควำมหวังดีที่ผู้เลี้ยงดูต้องกำรสอน
                                                                                                                                     ผลก็คือ เด็กจะรู้สึกขำดควำมมั่นคง ไม่ปลอดภัย และจะแสดงควำมต้องกำร

                                       หำกอนุญำตให้กลับเข้ำกลุ่มก็จะท�ำให้เด็กเรียนรู้ว่ำค�ำพูดของผู้เลี้ยงดูไม่                   ออกมำเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมำะสม รูปแบบกำรเพิกเฉยต่อควำมต้องกำรพื้นฐำน
                                     ศักดิ์สิทธิ์ กลำยเป็นวิธีกำรเลี้ยงดูที่ยืดหยุ่นจนละเลยกำรสอน ส่งผลให้เด็กใช้เป็น              ทำงจิตใจของเด็ก ได้แก่

                                     โอกำสในกำรท�ำพฤติกรรมที่ไม่เหมำะสมอีกได้ เช่น ตัดสินใจตีเพื่อน เพรำะรู้ว่ำ                    •  กำรบอกให้ท�ำโดยไม่มีค�ำอธิบำย เช่น “แม่สั่งให้ท�ำ ก็ต้องท�ำ” “หนูต้อง
                                     เมื่อถูก Time Out กี่นำทีก็ตำมก็จะกลับเข้ำกลุ่มได้เมื่อบอกครูว่ำส�ำนึกผิดแล้ว                   แบ่ง เพรำะหนูเป็นพี่”

                                       แต่หำกครูให้ส�ำนึกผิดต่อจนครบ 5 นำที เด็กก็จะรู้สึกว่ำเขำถูกลงโทษทันที                      •  กำรปล่อยให้เด็กอยู่ในอำรมณ์และควำมรู้สึกที่ไม่ดี โดยไม่มีกำรแสดงควำมเข้ำใจ
                                       ไม่ว่ำจะทำงไหน ก็ผิดหลักกำรท�ำงำนของกำรสร้ำงวินัยเชิงบวก ตำม Model                            เช่น “อยำกร้อง ก็ร้องไปเลย”

                                     5 T ซึ่งจะไม่สำมำรถท�ำให้เด็กเกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนำตนให้บรรลุเป้ำหมำย                         •  กำรยุส่งพฤติกรรมที่สำมำรถท�ำร้ำยจิตใจ ร่ำงกำยและสิ่งของได้ เช่น “อยำก
                                     พฤติกรรมได้                                                                                     ร้องใช่มั้ย ร้องให้ดังอีก ดังอีก” “บอกว่ำมีดมันอันตรำย ไม่ฟัง งั้นเอำไปถือ

                                       หลักกำรสร้ำงวินัยเชิงบวกตำม Model 5 T ที่น�ำมำใช้แทน Time Out คือ                             เลย” “อยำกไป งั้นไปคนเดียวเลย”
                                     Time In หรือกำรให้เวลำเด็กอยู่กับตัวเองโดยมีเรำแนะน�ำอยู่เคียงข้ำง เพื่อช่วยให้

                                     เขำจัดกำรกับอำรมณ์ตัวเอง โดยกำรใช้หลักกำรสอนวิธีกำรจัดกำรอำรมณ์ ผ่ำนกำร                         อันที่จริงแล้ววิธีกำรเพิกเฉยหรือ ignore ตำมเทคนิค 101s กำรสร้ำงวินัย              Ignore
                                     แสดงควำมเห็นอกเห็นใจ เช่น                                                                     เชิงบวก (The 101s Principles of Positive Discipline) ของ ดร. แคธำลีน ซี เคอร์ซีย์

                                       “ครูเข้ำใจว่ำหนูไม่ชอบที่เพื่อนแซงคิว หนูเลยผลักเพื่อนล้ม หนูพร้อมเมื่อไหร่                 ได้เสนอวิธีกำรเพิกเฉยที่น่ำสนใจว่ำ ผู้เลี้ยงดูควรถำมตัวเองว่ำ พฤติกรรมที่เรำก�ำลัง
                                     หนูไปขอโทษเพื่อน และใช้ค�ำพูดบอกเพื่อนนะคะว่ำหนูรู้สึกอย่ำงไร”                                จะสอนนั้นเป็นพฤติกรรมที่สังคมคำดหวังและจ�ำเป็นต้องสอน หรือเป็นเพียงพฤติกรรม

                                       วิธีนี้จะเปิดโอกำสให้เด็กได้ฝึกทักษะสมอง EF โดยตรง เพรำะเด็กจะเป็น                          ที่รบกวนใจผู้เลี้ยงดูคนเดียวเท่ำนั้น เช่น เด็กก�ำลังนั่งกดปำกกำเล่น เด็กชอบดูรำยกำร
                                     คนควบคุมควำมพร้อมของตนเอง ไม่ใช่กำรก�ำหนดเวลำ และที่ส�ำคัญคือ                                 ทีวีที่เรำไม่ชอบ เด็กอยำกได้เสื้อตัวหนึ่งแต่แม่ซื้ออีกตัวหนึ่งที่แม่ชอบให้ เป็นต้น

                                     กำรแสดงควำมเข้ำใจและกำรบอกชื่ออำรมณ์นั้นๆ ยังเป็นกำรสื่อสำรที่ป้อน                              ดังนั้น “กำรลองเพิกเฉยพฤติกรรมที่รบกวนใจผู้สอนเพียงคนเดียวบ้ำง จะช่วย
                                     ข้อมูล และตอบสนองควำมต้องกำรพื้นฐำนทำงจิตใจของเด็กไปพร้อมๆ กัน                                เพิ่มเวลำในกำรมองหำสิ่งดีๆ เพื่อชมเด็กได้มำกขึ้น ท�ำให้บรรยำกำศและสัมพันธภำพ

                                     ส่งผลให้เด็กสำมำรถน�ำข้อมูลเข้ำไปช่วยผ่อนคลำยอำรมณ์ตนเอง และทักษะ                             ดีขึ้นด้วย” (Katharine C. Kersey)
                                     สมอง EF สำมำรถควบคุมกำรท�ำงำนได้ง่ำยขึ้นอีกด้วย






            154                                                                                                                                                                                                                  155
   149   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159