Page 110 - Executive Functions ในเด็กวัย 7-12 ปี
P. 110
3) มุ่งสร้างทักษะ 4) มุ่งการสอน
ทักษะหมายถึงเรียนรู้และฝึกฝนจนช�านาญ ทักษะเป็นสิ่งส�าคัญที่เทคนิควินัยเชิงบวกมุ่งเน้น บ่อยครั้งที่ผู้ใหญ่พูดสอน แต่เด็กๆ จะบอกว่าผู้ใหญ่ชอบสั่ง เพราะลักษณะการพูด
ที่จะสร้างให้กับเด็กๆ ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของเทคนิควินัยเชิงบวก นั่นคือการมีวินัยในตนเอง สื่อสารออกมานั้นส่งผลให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่บิดเบือนไปจากเจตนาของผู้พูดได้
ดังนั้น ผู้ใช้เทคนิควินัยเชิงบวกต้องนึกถึงทักษะและกระบวนการที่จะช่วยให้เด็กเกิดพฤติกรรม แนวคิดทางจิตวิทยากล่าวถึงเทคนิคการสื่อสารที่ให้ผลแตกต่างกันว่า การพูดสอน
ที่เหมาะสม เช่น ฝึกให้เด็กรู้จักอารมณ์ บอกอารมณ์ตัวเองได้ และในที่สุดเกิดเป็นทักษะควบคุม ด้วยการใช้ค�าว่า “ห้าม ไม่ อย่า หยุด” นั้น แม้ผู้พูดจะต้องการสอนแต่ผู้ฟังรู้สึกว่า
อารมณ์ ซึ่งในกระบวนการสร้างทักษะนั้นจะต้องให้เวลาในการฝึกฝน ผู้ใช้เทคนิควินัยเชิงบวก นี่คือการสั่ง การบังคับ การห้าม ซึ่งความรู้สึกของการโดนสั่ง เป็นการสร้างความรู้สึก
จะต้องแสดงความรับรู้ในความก้าวหน้าแต่ละก้าวของเด็ก แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ด้วยการให้ก�าลังใจ ไม่เป็นมิตร ถูกควบคุม กระตุ้นความรู้สึกอยากต่อต้าน และที่ส�าคัญการบอกว่าห้าม
และมุ่งเน้นไปที่กระบวนการและความพยายามของเด็กเอง สอดคล้องกับแนวคิดจิตวิทยาสังคม ท�าอะไรนั้นไม่ได้สอนว่าแล้วต้องท�าอะไร ในขณะที่เทคนิควินัยเชิงบวกจะหลีกเลี่ยงค�า
ที่ว่า การที่เด็กได้รับรู้ว่าตนเองมีความสามารถและท�าสิ่งต่างๆ จนประสบความส�าเร็จได้ด้วยตนเอง พูดที่กระตุ้นการต่อต้าน การไม่เป็นมิตร และมุ่งไปที่การบอกให้เห็นภาพชัดเจนว่า
จะช่วยสร้าง self - esteem และ self - worth ให้กับเด็กได้ ซึ่งเป็นปัจจัยส�าคัญในการท�าให้ อยากให้ท�าอะไรที่เหมาะสม เช่น เมื่อเด็กวิ่งเล่นในห้อง ครูที่ใช้เทคนิควินัยเชิงบวก
คนๆ หนึ่งชอบและกล้าเรียนรู้ จะบอกกับเด็กๆ ว่า “เดินช้าๆ” แทนการบอกว่า“อย่าวิ่งในห้อง”
เมื่อพิจารณาร่วมกันกับความรู้ทางประสาทวิทยา แสดงให้เห็นถึงกระบวนการของสมองว่า ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวคิดของประสาทวิทยา คือ การใช้ค�าพูด
ทุกครั้งที่มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ของร่างกายในการเรียนรู้ เส้นใยประสาทจะส่งกระแสไฟฟ้า “ห้าม ไม่ อย่า หยุด” นั้นสมองจะแสดงผลที่สมองส่วนอารมณ์ ในขณะที่การบอกเด็ก
หากันเรียกว่า synapse และก่อสร้างขึ้นเป็นเครือข่ายโยงใยประสาท และเส้นใยประสาทเหล่านี้จะ ว่าให้ท�าอะไร สมองจะแสดงผลที่สมองส่วน EF
มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อเมื่อมีการลงมือท�าซ�้าๆ เส้นใยประสาทใดไม่ค่อยได้ถูกท�าซ�้าจะถูกท�าลาย ทั้งนี้นอกจากการเลือกใช้ค�าแล้ว น�้าเสียง สีหน้า ท่าทางก็เป็นสื่อในการส่งสาร
(pruning) ไปในที่สุด ดังนั้นเทคนิควินัยเชิงบวกจะหลีกเลี่ยงการลงโทษ เพราะการลงโทษไม่ได้ช่วย ไปยังเด็กซึ่งสมองจะตีความหมายตลอดเวลาอีกด้วย ดังนั้นผู้ใช้เทคนิควินัยเชิงบวกจะ
ให้เกิดการใช้เส้นใยประสาทในทักษะที่เราต้องการสร้าง แต่จะใช้การได้รับผลที่ท�าให้เกิดทักษะ ใช้น�้าเสียงและสีหน้าอ่อนโยนราบเรียบธรรมดาและเป็นมิตรตลอดเวลา แม้กระทั่ง
การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระท�าของตนเอง นั่นคือเทคนิควินัยเชิงบวกมีเป้าหมาย ตอนก�าลังโมโห ก็ต้องควบคุมและแสดงอารมณ์ในการโมโหได้อย่างหมาะสม เพราะ
เป็นทักษะ (ไม่ใช่การลงโทษ) ที่ต้องการให้เกิดกับเด็ก เช่นหากเด็กเล่นแล้วไม่เก็บของเล่น การเป็นต้นแบบ (role model) เป็นการสอนทางหนึ่งที่ผู้ใช้เทคนิควินัยเชิงบวกควร
เข้าที่ตามข้อตกลง เมื่อถึงเวลาที่เด็กก�าลังจะเล่นอีก ครูจะบอกกับเด็กว่า ตระหนักตลอดเวลาเช่นกัน
“เล่นแล้วไม่เก็บแปลว่าวันนี้หนูไม่เล่นแล้ว มุมของเล่นปิดค่ะ”
“ถ้าหนูอยากเล่นต้องท�ายังไงคะ พรุ่งนี้ลองใหม่ได้ค่ะ”
ค�าที่เลือกใช้ในประโยคเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระท�าของตนเอง เป้าหมายการสร้างวินัยเชิงบวก
ซึ่งจะต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกัน และต้องมุ่งสร้างทักษะ คือ การมีระเบียบวินัยและ Do : มุ่ง Don't : หลีกเลี่ยง
ความรับผิดชอบ หากมองจากภายนอกอย่างผิวเผินอาจจะดูคล้ายกับว่าเป็นการลงโทษด้วยการ • รักษาความสัมพันธ์เป็นหลัก • การท�าร้ายจิตใจ ร่างกาย
ไม่ให้เล่น แต่ด้วยค�าพูดที่เลือกใช้ในการสื่อสาร ท�าให้เด็กได้ฝึกใคร่ครวญถึงพฤติกรรมตนเอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคนิควินัยเชิงบวกยึดถือเป็นหัวใจส�าคัญ นั่นคือรับผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการ • สร้างวินัยในตนเอง • การควบคุมจากภายนอก
กระท�าของตนเอง ไม่ใช่รับการลงโทษจากผู้อื่นที่เป็นการควบคุมจากภายนอกและไม่สร้าง • สร้างทักษะ • การลงโทษ
ทักษะ เช่น “เล่นแล้วไม่เก็บต้องถูกตี” หรือ “เล่นแล้วไม่เก็บต่อไปไม่ต้องมาเล่นแล้ว” การถูกตี • สอน • การสั่ง
ไม่ได้ช่วยสร้างทักษะ และการบอกว่าต่อไปไม่ต้องมาเล่นเป็นการขู่ ก็ไม่ใช่การสร้างทักษะเช่นกัน
110 111