ความรู้ชุด: จักรวาลของ “สมอง”

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมอง

หนึ่งในห้าของสมองเป็นเลือดและน้ำไขสันหลัง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cerebrospinal fluid ซึ่งเป็นน้ำที่สร้างขึ้นในโพรงสมอง ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาโดยสกัดออกมาจากเลือดแดง เพื่อไหลเวียนหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ห่อหุ้มทั้งสมองและไขสันหลังไว้   น้ำไขสันหลัง มีหน้าที่หลักคือ การนำอาหารไปเลี้ยงสมอง ขนส่ง Hormone ต่างๆภายในสมองและรับเอาของเสียจากสมองไปทิ้ง นอกจากนั้นยังเป็นฉนวนลดแรงกระแทกต่อสมองที่อาจจะเกิดขึ้นเวลาที่หัวหรือหลังถูกกระทบกระแทกด้วย

สมองมนุษย์เริ่มก่อตัวตั้งแต่อยู่ในครรภ์อายุได้ ๒ สัปดาห์ ปัจจัยที่ได้รับขณะที่อยู่ในครรภ์ของแม่ มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองอย่างมาก แม่ต้องมีอารมณ์ที่ดี ได้รับสารอาหารที่ครบห้าหมู่ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ไอโอดีน โปรตีน กรดโฟลิก วิตามิน ไขมันปลา ได้ความรักและกำลังใจจากสามี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุขสงบ และไม่ได้รับสารพิษ เช่น บุหรี่ เหล้า

เมื่อทารกคลอด สมองหนักประมาณ 450 กรัม และเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุ ๑๘-๒๐ ปี โดยมีน้ำหนักเฉลี่ย ประมาณ 1.2-1.4. กก. หรือประมาณ 2 % ของน้ำหนักร่างกาย แต่เป็นอวัยวะที่รับเลือดจากหัวใจมากถึง 15 %  อีกทั้งสมองมนุษย์ยังเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นๆของร่างกาย โดยใช้พลังงานถึง 20% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานอย่างมหาศาลเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังประเภทอื่นๆ เช่น ปลา สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่น ที่สมองใช้พลังงานที่ร่างกายได้รับเพียง 2-8 เปอร์เซนต์เท่านั้น นอกจากการใช้พลังงานอย่างมหาศาล สมอง


สมองที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เช่น การขาดออกซิเจนเป็นเวลานานทำให้สมองบางส่วนตายไป

ไม่สามารถทำหน้าที่ในการรับรู้ การคิด สูญเสีย

ความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกไปอย่างถาวร

แม้ว่ายังคงมีลมหายใจนั้นเป็นการสูญเสียความสามารถในการทำหน้าที่

สำคัญซึ่งถือเป็นแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ไป


ในสมองของเรามีปริมาณน้ำมากถึงประมาณ สามในสี่ส่วน เมื่อสมองส่วนไฮโปทาลามัสพบว่าระดับน้ำในสมองน้อยเกินไป สมองส่วนนี้จะส่งสัญญานผ่านฮอร์โมนไปยังไตให้ดูดซับน้ำเอาไว้ให้ร่างกายทำให้สีปัสวะเข้มขึ้น การขาดน้ำสังเกตได้จากภายนอกว่าความชุ่มชื้นของผิวลดน้อยลง แต่ภายในร่างกายลึกลงไปจะพบว่า พลังงานและความดันโลหิตลดลง สมองที่ขาดน้ำต้องทำงานหนักขึ้นและหดตัวลง น้ำเปล่าเป็นน้ำที่ดีที่สุดที่ร่างกายต้องการ

 ในแต่ละวันเราต้องดื่มน้ำให้พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย และดื่มเป็นระยะๆเช่นดื่มหลังอาหารให้พอเพียงแต่ไม่หักโหม การดื่มน้ำมากเกินไปในช่วงเวลาสั้นๆไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายและสมองมีน้ำมากเกินไป ไตไม่สามารถจัดการกำจัดน้ำได้ทัน ทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษทำให้เกิดอาการปวดหัว อาเจียร และหากยังถูกบังคับให้ดื่มน้ำต่อไปจนเกินขีดที่ร่างกายรับได้อาจเกิดอาการชักหรือเสียชีวิตได้ เดิมน้ันมีความเชื่อว่าคนควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่ปัจจุบันพบว่าปริมาณการดื่มน้ำต่อวันของคนจะแตกต่างไปตามน้ำหนัก บริบท เช่นมีข้อแนะนำว่าปริมาณน้ำสำหรับผู้ชายที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.7 ลิตรต่อวัน ส่วนผู้หญิงนั้นปริมาณน้ำที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณระหว่าง 2-2.7 ลิตรต่อวัน อย่างไรก็ตามปริมาณจะผันแปรไปกับอายุ ความคล่องตัว และความร้อนในร่างกาย  นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำให้จิบน้ำเป็นระยะในระหว่างที่สมองทำงานหนัก เช่นต้องนั่งดูหนังสือสอบเป็นเวลานาน เพื่อให้ในสมองมีน้ำเพียงพอ ที่จะช่วยให้การเชื่อมกันระหว่างเซลล์ประสาททำได้ดีขึ้น

นอกจากน้ี ยังมีความรู้และคำแนะนำที่จะช่วยให้เราดูแลรวมทั้งระมัดระวังและพัฒนาสมองของตนเองและบุตรหลานได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. นอนให้พอ ในระหว่างการนอนอย่างเต็มอิ่มในตอนกลางคืน เซลล์ประสาทจะกำจัด ชำระสิ่งตกค้างที่เป็นพิษต่อสมองออกไป การนอนน้อยหรือนอนไม่พอส่งผลร้ายต่อเซลล์ประสาท นอกจากจะทำให้ความสามารถในการจำลดลง และมีผลต่อการเกิดอัลไซเมอร์ได้

2. ความเครียดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทำร้ายสมอง ความเครียดส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ ทำให้ความจำและความสามารถในการควบคุมตนเองลดลง ความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้คนเกิดความกังวล สับสนและทำอะไรออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย

3. ความรักและความเกลียด นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทำงานวิจัยพบว่า เมื่อเกิดความรู้สึกรัก สมองส่วนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคิดตรรกะและการตัดสินทำงานน้อยลงมากกว่าเมื่อเทียบกับการเกิดความรู้สึกเกลียด ความรู้นี้ทำให้เราต้องตระหนักว่า ความรักทำให้เราลำเอียงได้ง่าย

4. น้ำมีความจำเป็นต่อสมองมาก ในสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณ 80% การขาดน้ำทำให้ความทรงจำระยะสั้น และความสามารถทางปัญญาลดประสิทธิภาพลง

5. การตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าการตั้งครรภ์ส่งผลให้สมองส่วนสีเทามีขนาดเล็กลง พื้นที่ส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำความเข้าใจและการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เราจึงมีความจำเป็นต้องดูแลและปฏิสัมพันธ์กับแม่ตั้งครรภ์ใกล้ชิดขึ้น นอกจากช่วยให้แม่ได้เข้าใจความต้องการของลูกมากยิ่งขึ้น ยังช่วยสังเกตความผิดปกติที่คาดไม่ถึงได้อีกด้วย

6. ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารใส่ปริมาณน้ำตาลจำนวนมากเกินความต้องการลงไปในเครื่องดื่ม เครื่องปรุง ของขบเคี้ยวและอาหารเด็กการกินอาหารที่มีน้ำตาลมากทำให้การทำงานในสมองช้าลง ความจำแย่ลงและทำให้ความสามารถในการเรียนและการจดจ่อลดลง สาเหตุเกิดจากการที่น้ำตาลไปทำลายการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง อย่างไรก็ตามอาหารที่มีไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณมาก เช่น ไขมันปลา ถั่วและน้ำมันปลา ก็ช่วยในการเสริมสร้างประสิทธภาพของสมอง

7. การวาดรูปและการคิดงานศิลปะ กระตุ้นการปฏิสัมพันธ์ของสมองส่วนต่างๆและทำให้อ่อนวัยลง

8. การอ่านหนังสือเป็นการฝึกฝนสมอง นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดประเทศอังกฤษ พบว่าการอ่านหนังสือทำให้ความสามารถเชิงปัญญาของสมองดีขึ้น จากการที่เลือดสูบฉีดมากขึ้นในสมองส่วนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจดจ่อและการคิดเชิงปัญญา ซึ่งไม่เกิดในขณะที่นั่งดูทีวีหรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์

9.การออกกำลัง เคลื่อนไหวร่างกาย ส่งผลดีที่สุดต่อสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สมองส่วนหน้าซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในคิดเชิงเหตุผล ตัดสินใจและสมองฝั่งซ้าย, ขวาซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างและรักษาความทรงจำเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆในระยะยาวในบริเวณที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส การออกกำลังกายนอกจากช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยให้ความสามารถในการจดจ่อมากขึ้น ความจำระยะยาวดีขึ้น 

การออกกำลังการส่งผลดีต่อสมองทันที เพราะทุกการเคลื่อนไหวสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท สารสื่อประสาท เช่น โดปามีน(Dopamine) ซีโรโทนิน(Serotonin) และโนราดรีนาลีน(Noradrenaline) ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดความรู้สึก สดชื่น อารมณ์ดี ผลการวิจัยพบว่าหลังเสร็จสิ้นการออกกำลังกายทันทีส่งผลให้ความสามารถในการจดจ่อยาวนานขึ้นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น

แต่ย่ิงไปกว่านั้น การออกกำลังกายทำให้กายวิภาคของสมองเปลี่ยนไป การออกกำลังกายทำให้สมองส่วนฮิบโปแคมปัสเกิดเซลล์ประสาทใหม่ขึ้นมาจำนวนมากขึ้น ส่งผลต่อความจำระยะยาวที่มีมากขึ้น วงจรประสาทของความสุขที่เกิดขึ้นทันทีของการออกกำลังกาย เมื่อทำต่อเนื่องไปส่งผลให้วงจรประสาทแห่งความสุขแข็งแรง

 การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้เช่นใด ก็ส่งผลต่อสมองให้แข็งแรงได้เช่นนั้น สมองส่วนหน้าและฮิปโปแคมปัสเป็นสมองสองส่วนที่บอบบางและเสื่อมลงเร็วที่สุดเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น การออกกำลังกายอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ด้วยการออกกำลังกายประเภทใดก็ได้ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ช่วยให้สมองส่วนหน้าและฮิปโปแคมปัสใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมที่จะเกิดขึ้นได้


อ้างอิง