สอบถามการใช้งานระบบ?

(02)913 - 7555 กด 4104

ฝ่ายบริการสมาชิกเว็บไซต์

ชีวิต New normal ระวังเด็กขาดทักษะทางสังคมเพิ่มขึ้น

ชีวิต New normal ระวังเด็กขาดทักษะทางสังคมเพิ่มขึ้น

รศ.ดร.นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์ จากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีการพัฒนาทางสังคมอ่อนแอแล้วถูกวิเคราะห์ว่าเป็นสมาธิสั้นหรือออทิสติคอ่อนๆ  ซึ่งเด็กออทิสติคแท้ๆ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ และอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น

ความจริงแล้วเด็กเหล่านั้นเป็นเด็กปกติ แต่ขาดทักษะการเข้าสังคม เด็กไม่สามารถเข้าใจหรือรับรู้ได้ว่าเพื่อนๆ หรือครูไม่อยากฟัง ไม่ชอบ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเขาแสดงออกมา และตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ มองไม่ออกด้วยว่าเพื่อนต้องการแกล้งหรือแหย่เล่นเท่านั้น   

เด็กกลุ่มที่มีปัญหาในการเข้าสังคมเช่นนี้นับวันจะมีเพิ่มขึ้น เพราะส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวขนาดเล็ก เป็นลูกคนเดียว ทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์กับญาติพี่น้องในวัยเดียวกัน ขาดประสบการณ์การเล่น การทะเลาะ การปรับความเข้าใจกัน  เล่นหรืออยู่แต่กับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่จะยอมและตามใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้ โดยไม่เข้าใจว่าคนรอบข้างคิดอย่างไร เมื่อออกจากบ้านมาเผชิญโลกกว้างมากขึ้น ก็จะมีปัญหากับคนอื่นๆ ได้ง่ายเพราะไม่เข้าใจว่าคนอื่นคิดและต้องการอะไร      ต่างจากเด็กที่มีญาติพี่น้อง มีเพื่อน ซึ่งเมื่ออยู่ด้วยกัน เล่นด้วยกัน ย่อมมีการแย่ง มีการขัดใจกัน ทำให้เด็กเรียนรู้จักแก้ปัญหาในความสัมพันธ์เพื่อให้กลับมาเล่นด้วยกันใหม่ได้

ปัจจุบันเรายังใช้การสื่อสารผ่านจอ แม้กระทั่งมีการเรียนรู้ทางออนไลน์มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิดที่ทำให้มีการรักษาระยะห่างทางสังคม ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ อาจขาดการพัฒนาทักษะด้านนี้เพิ่มขึ้น หากพ่อแม่ ผู้ปกครองและครูไม่ใส่ใจเท่าทันการขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะทำให้ขาดทักษะสำคัญที่เรียกว่า “การรู้คิดทางสังคม”ซึ่งการรู้คิดทางสังคมนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นเองได้

การรู้คิดทางสังคม (Social Cognition) เป็นอย่างไร

การที่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจได้ว่าเพื่อนของเขากำลัง “อำ”หรือ“แหย่เล่น” เด็กต้องมีประสบการณ์ในการสังเกตสีหน้า ท่าทาง แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าที่เพื่อนพูดหรือทำแบบนั้นเป็นไปได้แค่ไหน เป็นเรื่องจริง หรือแค่ “อำ” เล่นๆ ซึ่งการเห็นกันหรือดูเหตุการณ์ผ่านจอ ไม่สามารถจะทำให้เด็กมีทักษะในการแยกแยะเช่นนี้ได้

รศ.ดร.นพ.วรสิทธิ์กล่าวว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์สื่อสารกันผ่าน 2 ช่องทาง คือผ่านทางภาษา ซึ่งต้องใช้ทั้งทักษะการฟังและการพูด(verbal communication) กับการสื่อสารด้วยทักษะอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับภาษา (non-verbal communication)  ข้อเท็จจริงก็คือ มนุษย์ไม่ได้สื่อสารผ่านทางภาษาเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่จะสื่อสารผ่านทางสีหน้า ท่าทาง แววตา โดยมีภาษาเป็นตัวช่วย  ดังนั้น เมื่อคนคนหนึ่งจะเข้าใจคนอีกคนหนึ่งต้องอ่านสีหน้าท่าทาง แววตาให้ออก แล้วจึงตีความออกมาว่า การแสดงออกเช่นนั้นหมายถึงอะไร

       เด็กพัฒนาทักษะการสื่อสารโดยไม่ใช้ภาษามาตั้งแต่ขวบปีแรก แม้ยังพูดไม่ได้ก็เข้าใจ จากการอ่านสีหน้า แววตา ท่าทางของแม่ที่บอกว่า “ไม่ได้ ไม่ให้”  เมื่อโตขึ้น มีการพัฒนามากขึ้น ก็นำการเรียนรู้นั้นมาใช้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ เช่น เมื่อเห็นสีหน้าแม่ว่าอารมณ์ดี ก็จะขอเล่นต่อหรือขอนอนดึกขึ้น จะทดลอง จะต่อรอง แต่ถ้าอ่านสีหน้าท่าทางแล้วประเมินได้ว่าแม่หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ก็จะไม่พูดไม่ขออะไร เพราะรู้ว่าไม่ได้แน่นอน  เป็นต้น  การอ่านสีหน้าแววตา ท่าทางได้นี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร

       รศ.ดร.นพ.วรสิทธิ์เล่าถึงการวิจัยเด็กที่อยู่ในภาวะพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดมาในช่วงสงคราม เช่น เด็กในประเทศยูโกสลาเวียเมื่อเกิดสงครามในประเทศ ได้อพยพไปที่สหรัฐอเมริกา กลุ่มหนึ่งไปกับพ่อแม่ กลุ่มหนึ่งมีผู้รับไปเลี้ยง ที่เหลืออยู่ในสถานสงเคราะห์ ต่อมามีการวัดขนาดสมองในเด็กทั้งหมดพบว่าเด็กมีสมองเล็กกว่าปกติ และพฤติกรรมที่แสดงออกมาแสดงให้เห็นว่าขาดทักษะ EF เช่น ควบคุมตัวเองไม่ดี หรือยั้งใจไม่ได้  ซึ่งรายงานที่ออกมานี้ชี้ให้เห็นว่าการที่เด็กเป็นเช่นนี้ อาจได้รับผลกระทบมาจากการอยู่ในภาวะสงครามแล้วขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และบางส่วนอาจจะมีภาวะขาดอาหารร่วมด้วย

การที่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจได้ว่าเพื่อนของเขากำลัง “อำ”หรือ“แหย่เล่น” เด็กต้องมีประสบการณ์ในการสังเกตสีหน้า ท่าทาง แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าที่เพื่อนพูดหรือทำแบบนั้นเป็นไปได้แค่ไหน เป็นเรื่องจริง หรือแค่ “อำ” เล่นๆ ซึ่งการเห็นกันหรือดูเหตุการณ์ผ่านจอ ไม่สามารถจะทำให้เด็กมีทักษะในการแยกแยะเช่นนี้ได้

รศ.ดร.นพ.วรสิทธิ์กล่าวว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์สื่อสารกันผ่าน 2 ช่องทาง คือผ่านทางภาษา ซึ่งต้องใช้ทั้งทักษะการฟังและการพูด(verbal communication) กับการสื่อสารด้วยทักษะอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับภาษา (non-verbal communication)  ข้อเท็จจริงก็คือ มนุษย์ไม่ได้สื่อสารผ่านทางภาษาเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่จะสื่อสารผ่านทางสีหน้า ท่าทาง แววตา โดยมีภาษาเป็นตัวช่วย  ดังนั้น เมื่อคนคนหนึ่งจะเข้าใจคนอีกคนหนึ่งต้องอ่านสีหน้าท่าทาง แววตาให้ออก แล้วจึงตีความออกมาว่า การแสดงออกเช่นนั้นหมายถึงอะไร

          เด็กพัฒนาทักษะการสื่อสารโดยไม่ใช้ภาษามาตั้งแต่ขวบปีแรก แม้ยังพูดไม่ได้ก็เข้าใจ จากการอ่านสีหน้า แววตา ท่าทางของแม่ที่บอกว่า “ไม่ได้ ไม่ให้”  เมื่อโตขึ้น มีการพัฒนามากขึ้น ก็นำการเรียนรู้นั้นมาใช้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ เช่น เมื่อเห็นสีหน้าแม่ว่าอารมณ์ดี ก็จะขอเล่นต่อหรือขอนอนดึกขึ้น จะทดลอง จะต่อรอง แต่ถ้าอ่านสีหน้าท่าทางแล้วประเมินได้ว่าแม่หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ก็จะไม่พูดไม่ขออะไร เพราะรู้ว่าไม่ได้แน่นอน  เป็นต้น  การอ่านสีหน้าแววตา ท่าทางได้นี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร

ทักษะอารมณ์และสังคมพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร

รศ.ดร.นพ.วรสิทธิ์ได้อธิบายว่า ทักษะด้านอารมณ์และสังคมในเด็กนั้นมีการพัฒนาตามลำดับดังนี้

เริ่มต้นจาก TOUCH และ TRUST ในวัยแบเบาะ  เริ่มจากความเชื่อมั่นไว้ใจที่ทารกมีต่อผู้เลี้ยงดู การได้รับโอบกอด สัมผัส (TOUCH) ซึ่งทำให้ฮอร์โมน Oxytocin หรือที่เรียกกันว่า ‘ฮอร์โมนแห่งความรัก’ หลั่ง แล้วนำไปสู่ความไว้วางใจ (TRUST) ต่อโลกหรือสังคมรอบตัว ตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กในช่วงนี้จึงมีบทบาทสำคัญสูงสุด ถ้าใส่ใจความรู้สึกของเด็ก รับรู้ความต้องการและตอบสนอง เด็กก็เรียนรู้ที่จะสื่อสารความต้องการและอารมณ์ของตนเองไปในทางที่เหมาะสม

เด็กเรียนรู้ทักษะอารมณ์-สังคมจากสิ่งที่เด็กเห็นมากกว่าการถูกบอกหรือสอน เซลล์กระจกเงา(Mirror Neuron) ที่มีอยู่ในสมองของมนุษย์เรา จะช่วยให้เด็กนำสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นจากคนอื่นไปเลียนแบบขึ้นเป็นการกระทำของตนเอง  ที่สำคัญ เด็กยังเรียนรู้ทักษะอารมณ์และสังคมผ่านความสัมพันธ์ในบริบทชีวิตจริงของพวกเขา ด้วยการสังเกต เลียนแบบ และตอบสนองต่อการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมทางสังคมของคนอื่นๆ ในครอบครัว ในห้องเรียนปฐมวัย ในชุมชน 

การสอนโดยตรงให้เด็กรู้จักอารมณ์ของตนเอง ได้แก่ การบอกให้เด็กรู้จักอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตน เช่น เมื่อเด็กกำลังโกรธ ผู้ใหญ่บอกเด็กให้รู้ว่า “หนูกำลังโกรธ..ใช่ไหม”  เพื่อให้เด็กฉุกคิดและเข้าใจสภาพของตนในขณะนั้น  ซึ่งการรับรู้อารมณ์ของตนในขณะนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการจัดการอารมณ์ตนเองได้ในที่สุด

เด็กพัฒนาการเรียนรู้ทักษะอารมณ์และสังคมได้ดีอย่างยิ่งผ่านการเล่นหรือการทำกิจกรรมที่หลากหลายกับเพื่อนตามวัย ดังนั้น เด็กปฐมวัยต้องได้เล่นกับเพื่อนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้

จะเห็นได้ว่าทักษะอารมณ์และสังคมมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับครอบครัว ภูมิหลังทางวัฒนธรรม และประสบการณ์ที่เด็กได้รับในช่วงต้นของชีวิต ดังนั้นในสถานการณ์โควิด 19 ที่วิถีชีวิตคนทั่วโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลง จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองและครูจะต้องใส่ใจพัฒนาทักษะอารมณ์และสังคมให้ลูกหลานและเด็กๆ ของเราให้มากยิ่งขึ้น


ความรู้ชุด “ดูแลเด็กยุคโควิด” โดย สถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป)
ปรารถนา หาญเมธี : เขียน
ผาณิต บุญมาก : เรียบเรียง
ภาวนา อร่ามฤทธิ์ : บรรณาธิการ

Related Articles

นางกษมน มังคละคีรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านกลางนาเดื่อ จ.สกลนคร

โรงเรียนบ้านกลางนาเดื่อเป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) ผอ.กษมน ได้รับการแนะนำให้รู้จักเรื่องEF จากอาจารย์วิเชียร ไชยบัง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แล้วศึกษาเพิ่มเติมทางอินเทอร์เน็ตและเข้าอบรมกับสถาบันRLG เมื่อเดือนเมษายน 2564 โดยให้ครูปฐมวัยในโรงเรียนเข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งเป็นครูที่จบเอกปฐมวัยมาโดยตรง และมีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้สู่การปฏิบัติในชั้นเรียน เมื่อตระหนักถึงความสำคัญของ EF ตรงกัน ผอ.กษมนจึงให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ ให้ครูปฐมวัยได้จัดการเรียนการสอนส่งเสริม EF โดยไม่ได้รอความเห็นชอบจากศน.เขตพื้นที่ฯ เพราะเห็นว่า EF เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับหลักการศึกษาปฐมวัยอยู่แล้ว สามารถบูรณาการไปกับการส่งเสริมพัฒนาการ...

นางเปรมศิริ เนื้อเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองบ้วย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองบ้วย  จ.เพชรบุรี

ผอ.เปรมศิริได้รับการแนะนำให้รู้จักเรื่อง EFจากศึกษานิเทศน์เขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรีเขต 2 และ ศน.เชิญชวนให้เข้ารับการอบรมความรู้ EF กับสถาบัน RLG แล้วนำความรู้ EF มาขยายสู่ครูปฐมวัยในโรงเรียนให้ครูได้ส่งเสริมEF เด็กผ่านโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย เนื่องจากมีความสอดคล้องกัน โดยบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยส่งเสริมให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ เรียนรู้จากการลงมือทำ นอกจากนั้นยังวางแผนจะเชื่อมโยงความรู้ EF ไปสู่ครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองบ้วย เพื่อเป็นการปูพื้นฐาน EF ให้เด็กจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่จะมาเรียนต่ออนุบาล 3 ที่โรงเรียนบ้านหนองบ้วย ทำให้เด็กได้รับการพัฒนา...

นายทวิต ราษี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านป้อมประชานุกูล จ.สุโขทัย

ผอ.ทวิต ราษี มีประสบการณ์บริหารโรงเรียนขนาดเล็กที่มีระดับชั้นปฐมวัยมานานโดยมีความตั้งใจในการพัฒนาอนุบาลให้มีคุณภาพเพราะเป็นการสร้างรากฐานให้เด็กไปจนโต และมีความสนใจในเรื่องพัฒนาการเด็ก เมื่อเข้าร่วมอบรมเรื่อง EF จากสถาบัน RLG ก็ได้เข้าใจว่าพัฒนาการของเด็กนั้นเกิดจากการทำงานของสมอง และยังเห็นว่าเรื่อง EF มีความสอดคล้องกับโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยที่โรงเรียนบ้านป้อมประชานุกูลดำเนินการอยู่ จึงสนใจที่จะขับเคลื่อนความรู้ EF ในโรงเรียน(ที่เพิ่งเข้ามาบริหาร) ผอ.ทวิตนำความรู้ EF มาถ่ายทอดแก่ครู ให้ครูนำความรู้ EF บูรณาการกับโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบโครงงาน เพียงครูเปลี่ยนวิธีการ ไม่ใช่ครูสั่งให้เด็กทำ แต่ให้เด็กได้คิดได้ทำด้วยตัวเอง...

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here

Stay Connected

74,430แฟนคลับชอบ
- โครงการ “สื่อเพื่อฟื้นฟูการพัฒนาเด็กปฐมวัย ในวิถีชีวิตใหม่” -
- EF Development Tools -

Latest Articles

นางกษมน มังคละคีรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านกลางนาเดื่อ จ.สกลนคร

โรงเรียนบ้านกลางนาเดื่อเป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) ผอ.กษมน ได้รับการแนะนำให้รู้จักเรื่องEF จากอาจารย์วิเชียร ไชยบัง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แล้วศึกษาเพิ่มเติมทางอินเทอร์เน็ตและเข้าอบรมกับสถาบันRLG เมื่อเดือนเมษายน 2564 โดยให้ครูปฐมวัยในโรงเรียนเข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งเป็นครูที่จบเอกปฐมวัยมาโดยตรง และมีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้สู่การปฏิบัติในชั้นเรียน เมื่อตระหนักถึงความสำคัญของ EF ตรงกัน ผอ.กษมนจึงให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ ให้ครูปฐมวัยได้จัดการเรียนการสอนส่งเสริม EF โดยไม่ได้รอความเห็นชอบจากศน.เขตพื้นที่ฯ เพราะเห็นว่า EF เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับหลักการศึกษาปฐมวัยอยู่แล้ว สามารถบูรณาการไปกับการส่งเสริมพัฒนาการ...

นางเปรมศิริ เนื้อเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองบ้วย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองบ้วย  จ.เพชรบุรี

ผอ.เปรมศิริได้รับการแนะนำให้รู้จักเรื่อง EFจากศึกษานิเทศน์เขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรีเขต 2 และ ศน.เชิญชวนให้เข้ารับการอบรมความรู้ EF กับสถาบัน RLG แล้วนำความรู้ EF มาขยายสู่ครูปฐมวัยในโรงเรียนให้ครูได้ส่งเสริมEF เด็กผ่านโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย เนื่องจากมีความสอดคล้องกัน โดยบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยส่งเสริมให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ เรียนรู้จากการลงมือทำ นอกจากนั้นยังวางแผนจะเชื่อมโยงความรู้ EF ไปสู่ครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองบ้วย เพื่อเป็นการปูพื้นฐาน EF ให้เด็กจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่จะมาเรียนต่ออนุบาล 3 ที่โรงเรียนบ้านหนองบ้วย ทำให้เด็กได้รับการพัฒนา...

นายทวิต ราษี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านป้อมประชานุกูล จ.สุโขทัย

ผอ.ทวิต ราษี มีประสบการณ์บริหารโรงเรียนขนาดเล็กที่มีระดับชั้นปฐมวัยมานานโดยมีความตั้งใจในการพัฒนาอนุบาลให้มีคุณภาพเพราะเป็นการสร้างรากฐานให้เด็กไปจนโต และมีความสนใจในเรื่องพัฒนาการเด็ก เมื่อเข้าร่วมอบรมเรื่อง EF จากสถาบัน RLG ก็ได้เข้าใจว่าพัฒนาการของเด็กนั้นเกิดจากการทำงานของสมอง และยังเห็นว่าเรื่อง EF มีความสอดคล้องกับโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยที่โรงเรียนบ้านป้อมประชานุกูลดำเนินการอยู่ จึงสนใจที่จะขับเคลื่อนความรู้ EF ในโรงเรียน(ที่เพิ่งเข้ามาบริหาร) ผอ.ทวิตนำความรู้ EF มาถ่ายทอดแก่ครู ให้ครูนำความรู้ EF บูรณาการกับโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบโครงงาน เพียงครูเปลี่ยนวิธีการ ไม่ใช่ครูสั่งให้เด็กทำ แต่ให้เด็กได้คิดได้ทำด้วยตัวเอง...

นายสวัสดิ์ เมฆสุนทร  ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองโพธิ์ จ.นครราชสีมา 

ผอ.สวัสดิ์ได้รับการแนะนำจากอาจารย์วิเชียร ไชยบัง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ให้รู้จัก EF รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง EF ในการประชุมเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง(TSQP)อยู่เสมอ และเข้ารับการอบรมกับสถาบัน RLG เพิ่มเติม  แล้วเห็นว่า EF เป็นความรู้พื้นฐานหรือความรู้ปฐมบทที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ว่าสถานะใดควรต้องรู้ ไม่ใช่เฉพาะผู้ปกครองชนชั้นกลางขึ้นไปที่มีความรู้ หรือเป็นความรู้ในหมู่ครูอาจารย์หรือแพทย์เท่านั้น  ครอบครัวที่ด้อยโอกาสก็ควรต้องรู้ สรุปคือสังคมไทยควรต้องเรียนรู้เรื่อง EF เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันจึงสนับสนุนให้ครูปฐมวัยในโรงเรียนได้รับการอบรม EF จากสถาบัน RLG และดำเนินการปรับสนามเด็กเล่นเพื่อให้เด็กได้เล่นอิสระอย่างปลอดภัยและมีความสุข...

นายจรูญ น้อยสำราญ  ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองบอน จ.ตราด

โรงเรียนบ้านหนองบอนเป็นโรงเรียนหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQD) กสศ.ซึ่งทำให้ผอ.จรูญได้เริ่มรู้จัก EF แล้วทำให้อยากรู้ว่า EF คืออะไร เมื่อพบว่าสถาบัน RLG มีการอบรมเรื่องนี้จึงสมัครเข้ารับอบรมพร้อมครูอนุบาล 2 คน  แล้วได้เห็นว่า EF เป็นคำตอบเรื่องการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และการพัฒนาเด็กให้เต็มศักยภาพ จึงนำความรู้ EF มาถ่ายทอดให้ครูในโรงเรียน โดยใช้สื่อจากสถาบันRLG ให้ครูเรียนรู้ และมอบหมายให้รองผอ.ติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนความรู้ EF สู่การปฏิบัติในชั้นเรียนอนุบาล...